จำเป็นบทเรียนขาดส่งประกันสังคม “สาวใหญ่” อยากย้อนเวลากลับไป

 น.ส.เพิ่มสุข บัณฑิต อายุ 55 ปี แม่ค้าขายผักผลไม้ย่านคลองสาน กรุงเทพมหานคร อดีตเคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 แต่เมื่อลาออกจากงานแล้วไม่ได้สมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 กระทั่งอายุครบ 55 ปี จึงเดินทางมารับเงินบำเหน็จชราภาพกับสำนักงานประกันสังคม
          “ทำงานเป็นลูกจ้างร้านคาร์แคร์ที่ปั๊มน้ำมันใกล้บ้านและเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตั้งแต่ พ.ศ.2548 ต่อมาช่วงปลายปี พ.ศ.2556 ป่วยเป็นโรคไขมันอุดตันที่ขาซ้าย และด้วยความที่ต้องทำงานอยู่กับน้ำตลอดเวลา ทำให้เกิดเชื้อรา ต้องเข้ารักษาอาการโดยการผ่าตัดที่ รพ.ตากสิน ซึ่งประกันสังคมก็ดูแลออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แต่พอหายดีแล้วปรากฏว่าไม่สามารถเดินเหินได้เหมือนปกติ ทำให้ตัดสินใจลาออกจากงานในช่วงอายุครบ 53 ปี โดยไม่ได้ขอสมัครใจส่งเงินสมทบเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ต่อไป”
          “รอกระทั่งอายุครบ 55 ปี เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ที่ผ่านมา จึงตัดสินใจเดินทางเข้ายื่นเรื่องขอบำเหน็จชราภาพ แม้จะลาออกจากการเป็นผู้ประกันตนของประกันสังคมมานานหลายปีแล้ว แต่ก็ยังได้เงินบำเหน็จก้อนใหญ่สูงถึง 32,185 บาท เงินก้อนนี้มีความหมายกับดิฉันและครอบครัวมาก เพราะในช่วงที่พักรักษาตัวจากอาการเจ็บป่วยก็ไปหยิบยืมเงินคนรู้จักมา จำนวน 20,000 บาท ปัจจุบันมีภาระค่าเช่าบ้านเดือนละ 1,000 บาท รายได้จากการรับจ้างขายผัก ขายผลไม้ ก็ไม่แน่นอน เมื่อได้เงินก้อนนี้มาก็จะสามารถนำมาใช้หนี้และเป็นทุนซื้อของมาค้าขายของเองได้” เพิ่มสุข บอกเล่าด้วยความชุ่มชื่นหัวใจ
 “หากย้อนเวลากลับไปได้ ตอนที่ออกจากงานล้างรถ จะมาขอยื่นส่งเงินสมทบขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 แน่นอน เพราะขนาดไม่ได้ส่งเงินสมทบมาระยะหนึ่ง กองทุนประกันสังคมยังจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพให้ขนาดนี้ หากสมัครส่งเงินสมทบต่อไป ก็มั่นใจว่า ยอดเงินที่จะได้รับต้องสูงมากกว่านี้” แม่ค้าผักผลไม้รายนี้ กล่าวทิ้งท้าย
หลักเกณฑ์และเงื่อนไข “กรณีชราภาพ” มี 2 เงื่อนไข ดังต่อไปนี้

1. เงื่อนไขการเกิดสิทธิกรณีบำนาญชราภาพ
   -  จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า180 เดือน ไม่ว่าระยะเวลา 180 เดือนจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม
   -  มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
   -  ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

ประโยชน์ทดแทนกรณีบำนาญชราภาพ
   -  กรณีจ่ายเงินสมทบ มาแล้ว ไม่น้อยกว่า 180 เดือน มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือนใน อัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้น สุดลง
 -  กรณีที่มีการจ่าย เงินสมทบเกิน 180 เดือน ให้ปรับเพิ่มอัตราบำนาญชราภาพตามข้อ 1 ขึ้นอีกในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อ ระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุก 12 เดือน สำหรับระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบเกินกว่า 180 เดือน
     -  กรณีผู้รับเงินบำนาญชราภาพถึงแก่ความตายภายใน 60 เดือน นับแต่เดือนที่มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพจำนวน 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพรายเดือนที่ได้รับคราวสุดท้ายก่อนถึงแก่ความตาย

2. เงื่อนไขการเกิดสิทธิกรณีบำเหน็จชราภาพ
   -  จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน
   -  ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
   -  มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย
 
ประโยชน์ทดแทนกรณีบำเหน็จชราภาพ
   -  กรณีที่มีการจ่าย เงินสมทบต่ำกว่า 12 เดือน ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ มีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ กรณีที่มีการจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ มีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายเงินสมทบ เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ พร้อมผลประโยชน์ตอบแทน ตามที่สำนักงานประกันสังคมประกาศกำหนด
สูตรการคำนวณกรณีชราภาพ http://www.sso.go.th/wpr/category.jsp?cat=873

Source:  http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1450939773