
เพราะคนกลุ่มนี้ เวลาที่มีความรู้สึกกดดัน ถูกคาดคั้น อาจระเบิดอารมณ์กลายเป็นระเบิดเวลาถาโถมเข้าใส่คนที่อยู่รอบข้างได้โดยง่าย
ดังเหตุสลดที่เกิดกับพนักงานขับรถดับเพลิงเทศบาลตำบลเขตรอุดมศักดิ์ สัตหีบ จ.ชลบุรี ที่ต้องมาจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า ถูกชายเร่ร่อนกระหน่ำแทงไม่ยั้ง แค่เพียงเพราะไปขอไฟต่อบุหรี่

เหตุการณ์ระทึกเกิดขึ้นกลาง ดึก วันที่ 17 ธ.ค. ร.ต.ท.สินสมุทร บุญทัศนา พนักงานสอบสวน สภ.สัตหีบ จังหวัดชลบุรี รับแจ้งเหตุชายถูกแทงอาการสาหัส บริเวณศาลาพักผ่อน หน้าที่ว่าการอำเภอสัตหีบ ถนนชายทะเล หมู่ 2 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ ภาพที่เห็นคือร่างชายสวมเสื้อแขนสั้นสีขาว สวมกางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน นอนคว่ำหน้า จมกองเลือด หายใจรวยริน ตามร่างกายถูกมีดกระหน่ำแทงนับ 10 แผล ตั้งแต่ศีรษะ ลำคอ แผ่นหลัง หน้าอก และ ลำตัว แม้หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถาน สัตหีบ จะพยายามยื้อชีวิตในจุดเกิดเหตุก่อนรีบนำร่างโชกเลือดส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ แต่ถึงมือหมอได้ไม่นานก็สิ้นใจ
"เขาชื่อ นายสุรศักดิ์ เย็นใจ อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 11/3 หมู่ 5 ต.บางเดื่อ อ.บางปะหัน จ.พระนคร ศรีอยุธยา เป็นพนักงานขับรถดับเพลิงเทศบาลตำบลเขตฯ อุดมศักดิ์ที่สัตหีบนี่แหละครับ ก่อนเกิดเหตุผมกับสุรศักดิ์พร้อมเพื่อนพนักงานเทศบาล พากันมานั่งรับประทานอาหารที่ร้านอาหารริมทะเลหน้าที่ว่าการอำเภอสัตหีบ
ก่อนที่สุรศักดิ์จะขอบุหรี่ผม 1 ตัว แล้วเดินออกไปนอกร้าน แต่ไม่มีไฟแช็กเลยเดินไปขอยืมไฟแช็กจุดบุหรี่จากชายเร่รอนที่นอนอยู่ในศาลาใกล้ๆ แล้วถูกชายคนนั้นชกต่อยก่อนใช้มีดปลายแหลมไล่แทงอย่างคลุ้มคลั่ง จนวิ่งหนีตายเลือดโชกตัวมาล้มฟุบอยู่ตรงนี้" เพื่อนที่มาด้วยกันให้การ

"ผมนอนอยู่ เขามาขอกอด ขอนอนด้วย แล้วยังจะลวนลามร่างกาย จะใช้มีดแทงผม ผมเลยแย่งมีดแทงกลับไปไม่คิดว่าจะตาย"
คำรับสารภาพจากปากชายเร่ร่อน บ่งบอกอย่างเด่นชัดถึงอาการสภาพจิตใจได้อย่างดี ว่าไม่เพียงเป็นคนไร้บ้านเท่านั้น แต่ยังเข้าข่ายเป็นผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตประสาทชัดเจน
ความตายของนายสุรศักดิ์ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่ควรปล่อยให้สูญเปล่า ควรตั้งโจทย์แล้วหาคำตอบป้องกันไม่ให้มี ผู้ตกเป็นเหยื่อราย ต่อไป เหมือนกรณีที่ชายป่วยจิต ไล่ทำร้ายผู้คนย่านโชคชัย 4 ในกรุงเทพฯ เมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
แม้ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน รวมทั้งองค์กรเอกชน จะร่วมกันแก้ปัญหาอย่างจริงจังกับกลุ่มคนเร่ร่อน แต่นั่นคือคนไร้บ้าน ไม่ได้มีอาการป่วยร่วมด้วย ดังนั้นควรแยกกลุ่มนี้ส่งไปรักษาฟื้นฟูให้มีชีวิตใหม่ ไม่ให้เป็นบุคคลอันตรายและรู้สึกหวาดผวา ในสายตาผู้อื่น และไม่เป็นภาระของสังคม มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เทียบเท่าผู้คนในสังคมเดียวกัน
Source: http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1450715624